กรุงเทพธุรกิจ – ในรายการ “สุทธิชัย ไลฟ์” เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา เรื่อง “ญี่ปุ่นลุยไทย”สุทธิชัย หยุ่น ที่ปรึกษาเครือเนชั่น ไลฟ์สด อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงการเดินทางมาเยือนประเทศไทยของ “คณะนักธุรกิจญี่ปุ่นกว่า 500 บริษัท” จาก 20 จังหวัดของญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 11-13 ก.ย.ที่จะถึงนี้ นำโดยรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) ในฐานะแขกของรัฐบาลไทย
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ระบุว่า คณะนักธุรกิจญี่ปุ่นดังกล่าว ถือว่ามีจำนวนมากที่สุด เท่าที่เคยมาเยือนไทย สะท้อนถึง การมองเห็นโอกาสทางการค้าและการลงทุนในประเทศไทย อีกระลอก เพื่อเชื่อมโยงนโยบายการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน (เมกะโปรเจค) และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ใน 3 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ซึ่งถือเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลไทย ที่ต้องการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ขณะที่ “ประเทศไทย” ถือเป็น”ฐานการลงทุน”ดั้งเดิมของญี่ปุ่น นักลงทุน”อันดับ1″ในไทย ผ่านการลงทุนในพื้นที่พัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (อีสเทิร์น ซีบอร์ด) จ.ระยอง และพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา
“อุตตม” ระบุว่า นักธุรกิจญี่ปุ่นที่จะเดินทางมาในครั้งนี้ ประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ สมาพันธ์ธุรกิจแห่งญี่ปุ่น หรือไคดันเรน (The Japan Business Federation :Keidanren) ซึ่งถือเป็นกลุ่ม นักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลทางการค้าและ การลงทุน รวมถึงประธานองค์การส่งเสริม การค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JETRO) รวมไปถึงนักธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี)
โดยก่อนหน้านี้ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง(Memorandum of Intent) ความร่วมมือใน 2 ประเด็นหลัก คือ ความร่วมมือ ในการพัฒนา 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-curve) และความร่วมมือด้านแผนงาน อีอีซี โดยทั้งฝ่ายไทยและญี่ปุ่นจะผลักดันให้เกิดการหารือร่วมกันระหว่างกลุ่มธุรกิจญี่ปุ่นและหน่วยงานภาครัฐของประเทศไทย เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายและการดำเนินโครงการการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอีอีซี เป็นต้น
โดยกิจกรรมที่คณะนักธุรกิจญี่ปุ่นจะดำเนินการในไทย นอกจากจะเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แล้ว จะมีการจัด”สัมมนาเต็มรูปแบบ” โดยจะเชิญนักธุรกิจไทยเข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย เพื่อให้เกิดการ”เชื่อมโยงทางธุรกิจ” (Business Networking) ระหว่างนักธุรกิจของทั้งสองประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังระบุถึงความสนใจในการลงทุนในไทยของนักลงทุนญี่ปุ่นว่า ในส่วนของการลงทุนในอีอีซี ญี่ปุ่นสนใจการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งอุตฯเกี่ยวกับการเครื่องมือ การแพทย์ ธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเทคโนโลยีรถยนต์ ยานยนต์อนาคต และเศรษฐกิจชีวภาพ (ไบโอ อีโคโนมี) รวมถึงเทคโนโลยีด้านอินเทอร์เน็ต (IoT) พร้อมไปกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ต่างจากนักธุรกิจจีน
“ที่ผ่านมาเรามีโรดแมฟในการพัฒนายานยนต์แห่งอนาคต มีมาตรการสนับสนุนครบทุกด้าน โดยผู้ประกอบการค่ายรถ พูดตรงกันว่า รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทรนด์โลก พูดตรงกัน แต่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ เป็นขั้นเป็นตอน จากไฮบริด เพื่อสร้าง ความคุ้นเคย เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (อีวี) ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว”
นอกจากนี้ในเชิงนโยบายการลงทุนญี่ปุ่นยังต้องการให้ไทยเป็นฐานการ ลงทุนหลัก เพื่อเชื่อมต่อการค้าและลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่น ในลักษณะ “ไทยแลนด์ พสัส วัน”
“ภายใต้ข้อตกลงที่กระทรวงอุตสาหกรรม ลงนามกับเมติ จะร่วมกันทางการค้าและการลงทุนในกรอบ ซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และเอเชีย โดยเริ่มที่ประเทศไทย ก่อนจะบวกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เพราะยุคนี้เศรษฐกิจเชื่อมโยง กันหมด แชริ่ง อิโคโนมี โดยเราคำานึงถึงภาพใหญ่ที่ญี่ปุ่นต้องการ ขณะที่ไทยต้องพัฒนาประเทศไปพร้อมกับเพื่อนบ้าน”
ส่วนการ “รักษาสมดุล” ทางการค้าระหว่าง”จีน”และ”ญี่ปุ่น” ของรัฐบาลไทย ซึ่งล้วนเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ของโลก นั้น ขณะที่ไทยมีความต้องการให้ทั้งสองชาติมหาอำนาจนี้เข้ามามีส่วนสร้าง ความเจริญทางเศรษฐกิจให้กับไทย ในประเด็นนี้
“อุตตม” ระบุว่า ไทยได้เชิญชวนการลงทุนจากหลายประเทศ ไม่เฉพาะจีนหรือ ญี่ปุ่น โดยยินดีต้อนรับการลงทุนจาก ทุกชาติ โดยเชื่อว่าสิ่งที่สื่อสารอย่างชัดเจนเช่นนี้ จะไม่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการเลือกข้าง หรือเอนเอียงการลงทุนไปยังชาติใด ชาติหนึ่ง
“รัฐบาลไทย ก็หารือกับทั้งจีน และญี่ปุ่น และอีกหลายชาติ เชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทย เราได้ชี้แจงสองประเทศว่า ช่วงนี้รัฐบาลไทยกำาลังป รูปประเทศ มีโอกาสใหม่เกิดขึ้นมากมาย โดยอีอีซี ถือเป็นโครงการสำาคัญของรัฐบาล มุ่งการลงทุนขนาดใหญ่ สร้างฐานความเจริญให้กับประเทศ จึงยินดีที่ประเทศทั้งหลายจะเข้ามาร่วมลงทุนกับไทย ซึ่งทั้งจีนและญี่ปุ่น ก็แสดงความสนใจ เช่นเดียวกับฮ่องกงที่เคยนำาคณะเดินทางมาเยือนไทยแล้ว”
“อุตตม” ยังคาดหวังว่า ภายหลังการเดินทางเยือนไทยของคณะนักธุรกิจญี่ปุ่น จะทำให้เกิดการค้าและการลงทุนตามมา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0
“การมาครั้งนี้ เราให้เวลา Business Networking ถึงครึ่งวัน ที่จะเปิดโอกาสให้บริษัทไทยได้พบปะกับบริษัทญี่ปุ่น รวมถึงเอสเอ็มอี โดยตรง โดยจะมีเจ้าหน้าที่ของไทยเป็นผู้ประสานงานอยู่โดยตลอด เป็นการทำให้ทั้งสองฝ่ายได้ทำความรู้จักกัน”
ญี่ปุ่นยังเสนอให้มีการ”เชื่อมโยง ฐานข้อมูล” ผู้ประกอบการร่วมกัน เพื่อให้เกิดการค้าและการลงทุน ร่วมกันในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ข้อมูลด้านมาตรฐานสินค้า เพื่อใช้เป็นข้อมูลกลางระหว่างกัน
30 ปีอีสเทิร์นซีบอร์ด ต่อยอดสู่ ‘อีอีซี’
กรุงเทพธุรกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังระบุว่า นักลงทุนญี่ปุ่นได้เข้ามาลงทุนในไทยเป็นเวลานานกว่า 30 ปีผ่านโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด ถือว่าเป็น”นักลงทุนรุ่นบุกเบิก” ในตอนนั้นจีนยังไม่เปิดประเทศ ทำให้ในปัจจุบันอีสเทิร์นซีบอร์ด เป็นฐานการผลิตสำคัญในอุตสาหกรรมรถยนต์ และปิโตรเคมี ที่เต็มไปด้วยการลงทุนจากญี่ปุ่น ดังนั้นเมื่อรัฐบาลผลักดัน โครงการลงทุนอีอีซี จึงเป็นเหมือนการ “ต่อยอด”การลงทุนของ นักลงทุนญี่ปุ่น อีกระลอก ซึ่ง นักลงทุนญี่ปุ่น ยอมรับว่า ให้ความสนใจ เป็นพิเศษ เนื่องจากสามารถเชื่อมโยง อุตสาหกรรมเดิมที่มีการลงทุนอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
“ยุคนั้น ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก หลายร้อยบริษัทอยู่ในไทย ทำาให้เขาผูกพันกับเราพอสมควร โดยใน3 จังหวัดภาคตะวันออก (ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง) ปัจจุบันมีคนญี่ปุ่นอาศัยอยู่มาก ท่านรัฐมนตรีกระทรวงเมติ ที่จะมาไทยครั้งนี้ ยังจะหาเวลาส่วนตัวไปเยี่ยมเยียนคนญี่ปุ่นที่นั่น”
ส่วนประเด็นปัญหาอุปสรรคทางการค้า การลงทุนที่ผ่านมา รัฐบาลกำลังเร่งแก้ไขปัญหา เพื่ออำนวยความสะดวกให้มากที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะการลดเวลาดำเนินการทางธุรกิจ ขั้นตอนการขออนุญาตกับส่วนงานราชการ ให้สั้นลง ซึ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติบอกเล่า ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหา โดยมีความคืบหน้าไปมาก
“นายกฯสั่งให้เร่งเรื่องนี้ กระบวนการให้บริการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศให้รวดเร็ว การจดทะเบียนต่างๆให้ใช้ระยะเวลาสั้นลง ตอนนี้เราทำาดีขึ้นแม้จะยังไม่ดีเท่าสิงคโปร์ แต่เดินหน้าไประดับหนึ่งเลยทีเดียว” รมว.อุตสาหกรรม ย้ำ
ส่วนประเด็นด้านการค้า อาทิ การกีดกันทางการค้าในบางรายการสินค้านั้น “อุตตม” ระบุว่า เป็นอีกประเด็นที่ต้องมีการหารือ โดยในการเดินทางเยือนไทยครั้งนี้ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งดูแลเรื่องการค้า จะมีโอกาสหารือกับคณะฯที่เดินทางมาพร้อมกับทางกระทรวงอุตสาหกรรม
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 31 สิงหาคม 2560
Credit: http://www.thaiauto.or.th/