กรุงเทพธุรกิจ ฝ่ายวิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ออกบทวิเคราะห์แนวโน้ม อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในปี 2561-2563 จะเติบโตเฉลี่ย 8-12% ต่อปี จากในปี 2560 ที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดย ตลาดในประเทศเติบโตทั้งความต้องการ ชิ้นส่วนเพื่อใช้ในการประกอบยานยนต์ (OEM) และความต้องการชิ้นส่วนเพื่อ การทดแทน (REM) ตามปริมาณการผลิต ที่เติบโต และจำนวนยานยนต์สะสม ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนตลาดส่งออกขยายตัวตาม การลงทุน และการขยายกำลังการผลิตชิ้นส่วนฯ ในไทยเพื่อส่งออกรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่ารายได้ (ในรูปเงินบาท) ของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนฯ ในไทยในปี 2560 จะขยายตัวเร่งขึ้นจาก ปีก่อน อยู่ที่ประมาณ 8-9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY)
แนวโน้มในระยะ 1-3 ปีข้างหน้าจะมีรายได้ (ในรูปเงินบาท) ขยายตัว ต่อเนื่อง 8-12% ต่อปี โดยมีปัจจัยหนุนจาก ตลาดในประเทศที่จะขยายตัวเร่งขึ้น โดยเฉพาะความต้องการชิ้นส่วนรถยนต์ขณะที่ตลาดส่งออกจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยการจำหน่ายชิ้นส่วนฯ ในประเทศ ปี 2561-2562 จะเติบโตในระดับ ใกล้เคียงกันที่ 8-12% ต่อปี ส่วนในปี 2563 จะเติบโตชะลอลงอยู่ที่ระดับ 5-10% YoY ตามตลาด OEM ที่เติบโตดี
ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดการณ์การผลิตรถยนต์ ในปี 2561-2563 จะเติบโต 5-7% 5-8% และ 3-5% ตามลำดับ (ประมาณการ การผลิตรถยนต์อยู่ที่ระดับ 2.09-2.13 ล้านคัน 2.22-2.28 ล้านคัน และ 2.32-2.36 ล้านคัน ตามลำดับ) เนื่องจาก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการเร่งผลิตตามแผนการส่งเสริม การลงทุน Eco-car
ส่วนการผลิตรถจักรยานยนต์ใน ปี 2561-2563 จะขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ 2-4%, 3-5% และ 1-3% ตามลำดับ (คาดการณ์การผลิตรถจักรยานยนต์ อยู่ที่ 2.1-2.14 ล้านคัน 2.18-2.23 ล้านคัน และ 2.23-2.27 ล้านคัน ตามลำดับ) เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคปรับดีขึ้นจาก การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ นโยบาย ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาลผ่าน โครงการรัฐสวัสดิการ และการกระตุ้น เศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ของรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากเม็ดเงินสะพัดในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง (คาดว่าจะมีการเลือกตั้งใน ไทยช่วง ต้นปี 2562) และการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการย้ายฐานการผลิตเพื่อส่งออก ของค่ายรถจักรยานยนต์ระดับโลก
ขณะที่REMคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ตามการเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งของจำนวนรถยนต์สะสมที่มีอายุมากกว่า 5 ปี (รถยนต์ ในโครงการรถคันแรกมีอายุครบ 5 ปี) ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนฯ เพิ่มขึ้นตามอายุและระยะทางการใช้งาน
ส่วนการส่งออกชิ้นส่วนฯ คาดว่า จะเติบโตต่อเนื่อง จากการย้ายฐานเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นของผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ ต่างชาติ โดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งมีความพร้อมด้านเงินทุน เทคโนโลยี และเป็นโครงข่ายเชื่อมโยงกับฐานการผลิตยานยนต์ทั่วโลก อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการสัญชาติไทย ที่มีกว่า 1,100 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ Tier 2-Tier 3 อาจมีความเสี่ยง จากการที่ผู้ผลิตต่างชาติ โดยเฉพาะ SME ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยและแข่งขันในตลาด REM มากขึ้น
สำหรับมุมมองวิจัยกรุงศรี ในระยะ 1-3 ปีข้างหน้าคาดว่ารายรับของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และผู้ผลิตยางรถยนต์จะเติบโตดี ผู้ประกอบการจะมีโอกาสทำกำไรได้ต่อเนื่อง ขณะที่ผู้จำหน่ายชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมของยานยนต์ จะได้ประโยชน์จากปริมาณยานยนต์ จดทะเบียนสะสมที่เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถรักษาผลประกอบการใกล้เคียงปีก่อน
โดยผู้ผลิตส่วนประกอบและชิ้นส่วนยานยนต์ คาดว่าผลประกอบการจะอยู่ ในเกณฑ์ดี ตามความต้องการชิ้นส่วนฯ ในประเทศที่เพิ่มขึ้น สำหรับตลาดส่งออก มีแนวโน้มขยายตัวตามนโยบายของ บริษัทข้ามชาติที่เข้ามาตั้งฐานการผลิต ในไทย เพื่อส่งออกในภูมิภาค ด้านผู้ผลิตยางรถยนต์ ผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ดี จากต้นทุนยางที่มีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำ และความต้องการยางรถยนต์ที่ขยายตัว ทั้งในตลาด OEM และตลาด REM รวมถึงตลาดส่งออกตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า
ส่วนผู้จำหน่ายชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมของยานยนต์ คาดว่ารายรับของกิจการ จะเติบโตตามตลาด OEM และตลาด REM แต่ยังเสี่ยงจากการบริหารจัดการ สต็อกและการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง อาจมีผลให้ผลประกอบการอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน
ผู้ขายส่ง/ขายปลีกชิ้นส่วนและ อุปกรณ์เสริมใหม่ของยานยนต์ คาดว่า ความต้องการชิ้นส่วน/อะไหล่กลุ่ม ประดับยนต์และชิ้นส่วนฯ บางประเภท ที่มีอายุการใช้งานสั้นจะเติบโตดีตามยอดจำหน่ายยานยนต์ผนวกกับจำนวนรถยนต์และรถจักรยานยนต์สะสมที่มีประมาณ 17 ล้านคัน และ 21 ล้านคัน ตามลำดับ หนุนความต้องการใช้ชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อการซ่อมแซม/บำรุงรักษาตามอายุ การใช้งานอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการที่มีอยู่มากรายจะทำให้ การแข่งขันด้านราคาค่อนข้างรุนแรง อาจกดดันอัตรากำไรของผู้ประกอบการ
ด้านผู้จำหน่ายชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมเก่าของยานยนต์ (เชียงกง) มี แนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามจำนวน ยานยนต์จดทะเบียนสะสม โดยเฉพาะ ยานยนต์ที่มีอายุมากกว่า 5 ปี แต่ลักษณะธุรกิจที่มีการลงทุนค่อนข้างสูงในการ สต็อกสินค้าที่หลากหลาย จึงอาจมี ความเสี่ยงจากสินค้าล้าสมัยและจาก การบริหารจัดการ สต็อก ซึ่งจะมีผลกดดันอัตรากำไรของธุรกิจ–จบ–
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ